สำรวจตัวเองสักหน่อยก่อนจะลงเงินกับกองทุนหรือหุ้น

ก่อนที่จะคิดถึงเรื่องการลงทุนนั้น สิ่งสำคัญอันดับแรกก็คือการตรวจสอบหรือประเมินตัวเองว่าสถานะและศักยภาพใน เชิงเศรษฐกิจของเราเป็นอย่างไร จากนั้นถึงจะสามารถวางกลยุทธ์และแนวทางที่ถูกต้องที่จะทำให้การลงทุนเหมาะสม ที่สุด การวางแผนการเงินแบบ “มาตรฐาน” เช่น ควรจะจัดพอร์ตการลงทุนที่ประกอบไปด้วยเงินลงทุนระยะสั้นที่เป็นเงินสดเท่า นั้นเท่านี้ ต้องมีตราสารหนี้ระยะยาว มีหุ้นและมีตราสารการเงินอื่นๆ ในอัตราส่วนที่เหมาะสมกับความสามารถรับความเสี่ยงหรืออายุของเรา และสุดท้ายบางทีก็บอกว่าควรจะต้องมีประกันชีวิต เพื่อป้องกันความเสี่ยงกรณีที่ตายก่อนกำหนด เป็นต้น ดังนั้นลองมาพิจารณาดูกันว่าอะไรคือปัจจัยที่จะต้องคำนึงถึง ก่อนเริ่มวางแผนทางการเงินส่วนบุคคล

มีทรัพย์สินสุทธิเท่าไร? บางคนมีเงินหรือมีทรัพย์สมบัติมากเป็นหลายร้อยหรือเป็นพันๆ ล้านบาท เหตุผลที่จะทำประกันชีวิตจึงแทบไม่มี เพราะถ้าตายเงินมรดกมากมายพอที่จะทำให้ลูกหลานสบายเต็มที่อยู่แล้ว เงินทุนประกันชีวิตสูงสุดส่วนใหญ่ไม่เกิน 10-20 ล้านบาท ย่อมไม่มีความหมายอะไร “ความเสี่ยง” สำหรับคนที่มีเงินมากและไม่มีหนี้หรือภาระที่อาจจะต้องรับ กับความเสี่ยงของคนที่มีเงินหรือทรัพย์สินสุทธิไม่มากนั้นคิดว่าแตกต่างกัน คนที่มีเงินมากพอที่จะสามารถใช้ชีวิตอย่างสุขสบายตลอดชีวิตทั้งของตนเองและ ลูกหลานอยู่แล้วนั้น ความเสี่ยงที่สำคัญอาจไม่ใช่ความเสี่ยงในการลงทุนตามปกติที่เกิดจากตราสาร การเงิน เช่น หุ้นหรือพันธบัตร หรือเงินฝาก หรือแม้แต่การลงทุนในธุรกิจหรือในอสังหาริมทรัพย์ เพราะการลงทุนเหล่านั้น แม้ว่าจะขาดทุนไปครึ่งหนึ่งหรือขาดทุนไป 75% เงินที่เหลืออยู่ 25% ก็ยังเพียงพอที่อาจจะอยู่ได้อย่างสบาย

แต่ความเสี่ยงจริงๆ นั้น อาจเป็นความเสี่ยงที่เกิดจาก“ระบบ” หรือกฎเกณฑ์ของรัฐหรือประเทศที่เปลี่ยนแปลงไป ที่อาจทำลายการลงทุนจนหมดสิ้นไป สิ่งเหล่านี้ประเทศไทยอาจจะยังไม่เคยเกิดขึ้น แต่ในบางประเทศ เช่น ในยุโรปตะวันออกในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองนั้น คิดว่าคนรวยหรือแม้แต่มหาเศรษฐีจำนวนไม่น้อยต้อง “สิ้นเนื้อประดาตัว” เพราะเมื่อเกิดสงคราม โรงงานหรือธุรกิจอาจถูกระเบิดทำลายไป เงินฝากที่มีอยู่ก็เฟ้อ เนื่องจากประเทศแพ้สงครามหมดค่าลง บางคนมีที่ดินเหลือแต่หลังสงคราม ประเทศกลายเป็นคอมมิวนิสต์ที่ดินจึงถูกยึดเป็นของรัฐ ดังนั้นสำหรับคนเหล่านี้ การลงทุนที่สำคัญมากที่จะลดความเสี่ยงจริงๆ อาจอยู่ที่การกระจายการลงทุนไปในหลายประเทศ ซึ่งจะทำให้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ยังมีเงินพอที่จะใช้ชีวิตที่สุขสบายได้